โดย : ปริญญา ชาวสมุน
LifeStyle @กรุงเทพธุรกิจ
ไม่ได้รำลึกถึง ความสูญเสียและคราบน้ำตา แต่วันเวลาผ่านไป6ปีของสึนามิ มีทั้งการเกิดและผลิบานของกิ่งก้านใหม่ๆรวมทั้งความปลอดภัยที่ตั้งอยู่บนสติ
ย้อน เวลากลับไปเมื่อหกปีที่แล้ว พื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันทั้งหกจังหวัดภาคใต้ เต็มไปด้วยซากศพผู้เคราะห์ร้ายนับพัน ข้าวของพังกระจัดกระจายไม่เป็นชิ้นดี แม้แต่สิ่งปลูกสร้าง ตึกรามบ้านช่องหลงเหลือเพียงซาก ภาพเหล่านี้ยังตกค้างในโสตประสาท เสียงหวีดร้องของผู้เคราะห์ร้ายยังดังก้องในหัวใครหลายคน
เช้าวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เกิดแผ่นดินไหวบริเวณด้านตะวันตกของหมู่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีศูนย์กลางอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย แรงสั่นสะเทือนกว่า 8.9 ริกเตอร์ ส่งผลให้เกิดน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว จนนักท่องเที่ยวที่กำลังพักผ่อนในวันคริสต์มาส บริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ทางภาคใต้ของไทย ต่างตื่นตาตื่นใจ เที่ยวไล่จับกุ้ง หอย ปู ปลา มากมายที่ติดค้างลงตามน้ำไม่ทันอย่างสนุกสนาน
แต่นั่นเป็นความสนุกครั้งสุดท้ายของหลายชีวิต เพราะหลังจากน้ำลดไปสุดสายตาเพียงไม่กี่นาที คลื่นยักษ์สูงกว่าสิบเมตรปรี่ตรงเข้าสู่ชายฝั่งอย่างรวดเร็วและรุนแรง เส้นทางของคลื่นยักษ์นี้ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ อะไรที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกซัดกระแทกแล้วดูดกลืนลงสู่ท้องน้ำ ผู้คนที่พอจะรู้สึกถึงหายนะทันต่างรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด กระนั้นเอง มีเพียงไม่กี่ชีวิตที่รอดเงื้อมมือมัจจุราช 'สึนามิ'
นอกจากผู้เสียชีวิตในประเทศไทยกว่าเก้าพันราย และในอีกหลายๆ ประเทศรวมกว่าสองแสนราย ยังมีผู้สูญหายอีกนับไม่ถ้วน กระทั่งตอนนี้ ระยะเวลาผ่านมาเกือบหกปี อีกมากที่ยังไม่พบตัว ผู้ที่รอดชีวิตมีทั้งที่สูญเสียญาติพี่น้อง สูญเสียทรัพย์สินจนสิ้นเนื้อประดาตัว ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตา และจิตใจอันบอบช้ำของผู้ที่ยังมีลมหายใจ
อนุพงษ์ สงวนนาม เจ้าของโรงแรมหรู ริมทะเลเขาหลัก จ. พังงา เล่าว่า "ตอนนั้นผมอยู่ที่โรงแรมเก่า บริเวณเดียวกับปัจจุบันนี้ เห็นน้ำลดลงไปสุดสายตา ไกลลิบเลย พวกนักท่องเที่ยวพากันวิ่งไปดูน้ำลง บางคนก็จับปลาที่มันหนีลงตามน้ำไม่ทัน แต่แป๊บเดียวเท่านั้น คลื่นมันก็ซัดมา คนวิ่งหนีกัน ผมเองกับภรรยาก็หนีไม่ทัน โดนคลื่นซัดไปคนละทิศละทาง ผมไปติดอยู่หลังโรงแรมนู่น โชคดีที่ไม่ไปชนหรือกระแทกอะไรเลย ไม่อย่างนั้นคงตาย พนักงานและแขกหลายคนก็เสียชีวิตต่อหน้าผม..."
ความโชคดีที่อนุพงษ์มีในวันนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับใครอีกหลายคน เพราะเขาหลักเป็นพื้นที่ลำดับต้นๆ ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมหาศาล แต่สิ่งที่โชคก็ช่วยอนุพงษ์รวมทั้งชาวบ้าน และผู้ประกอบการรายอื่นๆ ไม่ได้ คือ โรงแรม รีสอร์ท บ้านเรือนต่างพังพินาศจนจำเค้าลางเดิมไม่ได้
"ทุกอย่างที่เห็นนี่สร้างใหม่ทั้งหมด เดิมทีพื้นที่ด้านหน้าจะเป็นบังกะโลชั้นเดียว อาคารด้านหลังก็ได้รับความเสียหายมาก เราเลยเคลียร์พื้นที่ทั้งหมด แล้ววางผังใหม่ทั้งหมดออกมาเป็นรูปแบบอย่างปัจจุบัน โรงแรมอื่นก็เหมือนกัน" อนุพงษ์เล่าต่อ
และคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นโรงแรมใดบนพื้นที่เขาหลัก ปัจจุบันดูดีขึ้นและสวยงามกว่าก่อนจะเกิดสึนามิเสียอีก จะมีอยู่บ้างกับโรงแรมบางแห่ง เจ้าของไม่สามารถหรือไม่ต้องการกอบกู้คืน จึงต้องปล่อยทิ้งร้าง เป็นดั่งอนุสรณ์สถานเตือนความทรงจำมิลืมเลือน
คลื่นยักษ์ ไม่ยักษ์เกินข้าม
เมื่อสึนามิซัดผ่านไป เหลือเพียงลูกคลื่นขนาดย่อมที่ทยอยกระทบฝั่งตลอดเวลา การเดินหน้าต่อของผู้คนริมฝั่งย่อมดำเนินไป แม้ความรู้สึกห้วงลึกบางประการคอยจะทวงถามถึงเหตุการณ์นั้นตลอดเวลา แต่ปัจจุบัน ทุกชีวิตล้วนกลับมาสู่ภาวะปกติ
การบูรณะเพื่อฟื้นตัวของเขาหลัก จ. พังงา และพื้นที่อื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ มีหลายคน หลายองค์กร ยื่นมือฉุดดึง และประคับประคองผู้ประสบภัยให้ก้าวต่อไปได้
"ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือพวกเราเร็วมาก คืออย่างน้อยๆ ก็มีไฟฟ้าใช้ได้เร็ว ถนนหนทางก็เคลียร์เร็ว ไม่นานก็สัญจรไปมาได้ปกติ... จะลืมไปไม่ได้เลย คือ กองทุนฟื้นฟูสึนามิ Tsunami Recovery Found ที่ทางรัฐบาลตอนนั้นให้ตลาดหลักทรัพย์ร่วมกับธนาคารลงขันกันตั้งกองทุนฟื้น ฟูสึนามินี้ขึ้นมา แล้วให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสึนามิกู้ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ก็ทำให้ผู้ประกอบการมีกำลังใจ เพราะตอนนั้นธนาคารคงไม่ปล่อยให้กู้ นักลงทุนก็มั่นใจ นักท่องเที่ยวก็กลับมา มันลงตัวกันพอดี" อนุพงษ์กล่าว
เขายังเล่าต่ออีกว่า เขาหลักเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะหลังจากสึนามิ ผู้ประกอบการหลายคนมีความรู้มากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จจากอาชีพอื่นๆ แล้วหันมาทำธุรกิจโรงแรม เรียนรู้ถูกผิดกันไป
"พอเจอสึนามิเราสร้างกันขึ้นมาใหม่โดยที่ความรู้ของเรามากขึ้น ทำให้โรงแรม ณ วันนี้ดีขึ้นกว่าก่อนเจอสึนามิ ในแง่ความสวยงามก็มีมากขึ้น ผมว่าโรงแรมในเขาหลักสวยทุกโรงแรม ดีขึ้นทุกโรงแรม การที่เขาหลักและพื้นที่อื่นๆ ฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักท่องเที่ยวมีความผูกพันจากเหตุการณ์สึนามิ คนเขาหลักและคนไทยช่วยเหลือพวกเขามาก ความมีน้ำใจทำให้เกิดความผูกพัน นักท่องเที่ยวเขาบอกว่าจะกลับมานะ
นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่าเขาหลักและที่อื่นๆ จะกลับมาภายในสองถึงสามปีหลังสึนามิ ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาเขาหลักเป็นลูกค้าที่มาซ้ำ บางคนที่มาในช่วงปีแรกที่มีการฟื้นฟู โรงแรมที่เปิดได้แล้วเห็นว่าเป็นลูกค้าเก่าที่ประสบภัยสึนามิ ก็อยากจะลดราคาให้ ลูกค้าบอกว่าไม่ต้องลด ที่เขามาก็เพราะมาช่วยเหลือ ให้คิดราคาตามปกติ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเขาหลักและประเทศไทยเลย"
จากรายงานข่าวสถานการณ์ครั้งนั้น ก่อให้เกิดปรากฏการณ์คนไทยรักกัน ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ คนทุกภาค ทุกจังหวัด ร่วมบริจาคสิ่งของเครื่องใช้ ยารักษาโรค อาหาร และเงินทอง หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างระดมทุน ระดมสรรพกำลังเพื่อลำเลียงสายธารน้ำใจไหลลงสู่พื้นที่ประสบภัย หวังให้น้ำใจช่วยชะล้างคราบน้ำตาให้หมดไป
สุริวัสสา กล่อมเดช นิสิตสาวชาวจันทบุรี อดีตอาสาสมัครช่วงนั้น แบ่งประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง
"ตอนนั้น ยังเป็นนักเรียนม.ปลาย ไม่มีเงินไปบริจาคอะไรมากมาย เห็นเขารับสมัครอาสาสมัครไปเป็นล่ามช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวต่างชาติ เราก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษอีก เลยทำได้แค่ซื้อของที่คิดว่าน่าจะจำเป็นไปบริจาค บริจาคเงินด้วย ค่าขนมที่มีก็เอาไปบริจาค อยากช่วยเขา แค่เห็นก็พอจะรู้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน พวกเขาต้องการกำลังใจ ต้องการสิ่งของที่จำเป็น เราทำได้แค่นี้ ถึงแม้ว่าที่จันทบุรีจะเป็นอ่าวไทย ไม่มีสึนามิ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นบ้าง เราก็คงต้องการความช่วยเหลือเหมือนกัน"
ปลอดภัยที่เกาะเมียง
"เราพร้อม ถ้าเกิดสึนามิขึ้นอีก คนที่ฝั่งจะปลอดภัย"
เป็นปากคำของพันจ่าโท ชิตณรงค์ น้อยมนตรี ทหารเรือที่ปฏิบัติหน้าที่ยามชายฝั่งบนเกาะเมียง หรือเกาะสี่ ของหมู่เกาะสิมิลัน ที่ทำการศูนย์เตือนภัยการเคลื่อนตัวของคลื่น สังกัดกองทัพเรือ ชวนให้คนบนฝั่งใจชื้นขึ้นบ้าง
ศูนย์เตือนภัยดังกล่าวตั้งอยู่บนเกาะสี่ หมู่เกาะสิมิลันซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของ ประเทศไทย แต่น้อยคนที่จะรู้จักและสนใจว่าที่นี่คือสถานที่ที่จะนำพาให้ทุกคนปลอดภัย หากเกิดสึนามิ
"เกาะเมียงหรือเกาะสี่นี้จะเป็นจุดแรกที่เจอสึนามิ โดยที่ด้านหนึ่งของเกาะที่หันไปทางอินโดนีเซียจะถูกคลื่นซัดใส่ แต่ไม่มีความรุนแรงเหมือนกับที่ซัดใส่ชายฝั่ง เพราะเกาะเป็นน้ำลึกจะไม่เกิดคลื่นยักษ์ ต่างกับชายฝั่งที่เป็นน้ำตื้น จึงเกิดคลื่นหัวแตก ส่วนอีกด้านหนึ่งจะมีน้ำเอ่อขึ้นสูง ไม่กระทบกับคนที่อยู่บนเกาะ เมื่อน้ำเอ่อก็วิ่งหนีขึ้นไปที่สูง" จ่าเอกวุฒิชัย บรรเทิงจิตร ทหารเรือยามฝั่งคู่หูอธิบายเพิ่ม
นอกจากนี้พันจ่าโท ชิตณรงค์ ยังกล่าวสำทับว่า อย่างไรคนบนฝั่งก็ปลอดภัย เพราะถ้าเกิดสึนามิ ที่นี่จะเตือนภัยไปที่ฝั่ง
"ไม่มีมั่วเพราะที่นี่โดนจริงๆ กว่าคลื่นจะเดินทางไปถึงก็ราวๆ ครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง มีเวลาพอที่จะให้คนหนีไปที่ปลอดภัย อีกอย่างในทะเลก็มีทุ่นวัดระดับน้ำตลอด ฉะนั้นมั่นใจได้"
ศ. ดร. เป็นหนึ่ง วานิชชัย หัวหน้าโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย เพิ่มเติมว่า หลังจากที่เกิดสึนามิเมื่อปี 2547 คนก็ให้ความสำคัญกับแผ่นดินไหวและสึนามิมากขึ้น สึนามิครั้งที่แล้วเกิดจากแผ่นดินไหวขนาดยักษ์ในทะเลอันดามัน จนเกิดคลื่นยักษ์มาปะทะถึงตัว สาเหตุหลักคือ คนไทยไม่รู้จักสึนามิ ขาดระบบเตือนภัยที่ดี ที่สำคัญ ไม่รู้จะรับมืออย่างไร
"แต่ถ้าเกิดอีก คนเสียชีวิตคงไม่มากขนาดนั้นแล้ว เพราะเรามีระบบเตือนภัย มีความเข้าใจมากขึ้น" ดร. เป็นหนึ่งยืนยันอีกว่า "สึนามิเป็นภัยพิบัติที่หลายร้อยปีจะเกิดสักครั้งหนึ่ง หลายชั่วอายุคนจะเกิดที แต่พอเกิดเราก็ตั้งตัวไม่ติด ที่อินโดนีเซียกับญี่ปุ่นเกิดสึนามิบ่อยเพราะเป็นประเทศเกาะ สำหรับเราไม่ใช่ ตำแหน่งประเทศเขาอยู่ตามรอยต่อของเปลือกโลก มีแผ่นดินไหวเกิดประจำ เมื่อเร็วๆ นี้ก็เกิดแถวๆ เมนตาไว อินโดนีเซีย คนตายไปเป็นร้อย"
มีคนสงสัยว่า เมื่อแผ่นดินไหวเกิดที่อินโดนีเซียบ่อยครั้ง แล้วทำไมจึงไม่เกิดสึนามิที่ประเทศไทยอีก แม้แต่คืนที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่เกิดแผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตราอีกระลอกหนึ่ง แต่กลับไม่เกิดสึนามิ ดร. ผู้เชี่ยวชาญการเกิดแผ่นดินไหวมีคำอธิบาย
"แผ่นดินไหวปี 2547 เป็นแผ่นดินไหวขนาดยักษ์ ลำดับต้นๆ ห้าอันดับแรกในรอบร้อยปีเลย มันเป็นแผ่นดินไหวที่รอบร้อยๆ ปีจะเกิดที ถ้าเกิดแผ่นดินไหวแบบนั้นอีกก็จะเกิดสึนามิแบบนั้นอีก กระจายทั่วทั้งมหาสมุทร วิ่งผ่านไทย ไปศรีลังกา อินเดีย มัลดีฟส์ วิ่งไปถึงแอฟริกา เรียกว่าโอเชี่ยนไวด์สึนามิ (Ocean Wide Tsunami) ต้องประมาณ 8.5 - 9 ริกเตอร์ แผ่นดินไหวมีผลกระทบหลายรูปแบบ เราเน้นผลกระทบโดยตรงจากการสั่นสะเทือน แต่สึนามิเป็นผลพวงจากแผ่นดินไหวรุนแรง งานวิจัยทำให้ทราบความเสี่ยงของประเทศไทยดีขึ้น ประเทศไทยมีรอยเลื่อนสิบกว่ารอย เช่น ที่ลำปาง น่าน ตาก กาญจนบุรี แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ ภาคเหนือมีหลายๆ จังหวัด บางพื้นที่ไม่ได้อยู่ในรอยเลื่อนก็มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้"
ความพร้อมที่ประเทศไทยมี ณ ปัจจุบันอาจพอจะการันตีได้บ้างว่า เราพร้อมแค่ไหนหากเกิดแผ่นดินไหว หรือสึนามิอีก เช่น เส้นทางหนีคลื่นยักษ์ ในหลายจังหวัด รวมทั้งป้ายบอกทางหนีคลื่นยักษ์ ที่ไม่ได้ปล่อยให้ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างไร้จุดหมาย มีป้ายบอกจุดปลอดภัยด้วย แม้กระทั่งการซักซ้อมเตือนภัยและหนีภัยที่ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง แต่ยังดีที่มีให้ซ้อม
..................................................
"We visited Thailand after the Tsunami and everything here is perfect. The sea is safe and looks gorgeous ! We had a wonderful experience at the Similan Island."
ส่วนหนึ่งจากความในใจของ Aishikash Geagre นักท่องเที่ยวสาวชาวอินเดียซึ่งเลือกประเทศไทยเป็นที่ฮันนีมูนกับคนรัก
...น้ำตาที่เอ่อท่วมมหาสมุทร บัดนี้ระเหยแห้งแล้ว เหลือเพียงผลึกความรู้ รอให้มนุษย์นำไปใช้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น